คปภ.จับมือกรมการขนส่ง เชื่อมโยงข้อมูลการซื้อพ.ร.บ. ต่อภาษีรถง่ายขึ้น

คปภ.จับมือกรมการขนส่ง เชื่อมโยงข้อมูลการซื้อพ.ร.บ. ต่อภาษีรถง่ายขึ้น

เศรษฐกิจ คปภ. ประสานมือกรมการขนส่งทางบก เชื่อมโยงข้อมูลดิจิทัลเพื่อวิเคราะห์การทำประกันภัย พระราชบัญญัติ สำหรับเพื่อการจ่ายภาษีรถยนต์ ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการควบคุมและก็ช่วยเหลือการประกอบธุรกิจสัญญาประกันภัย หรือ คปภ. พูดว่า ผลจากความร่วมแรงร่วมมือสำหรับเพื่อการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบเพื่อพิจารณาการจัดทำสัญญาประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ระหว่างกรมการขนส่งทางบกรวมทั้งที่ทำการ คปภ. ได้ปรับปรุงระบบเสร็จสิ้นตลอดจนมีการเชื่อมโยงข้อมูล แล้วเมื่อวันที่ 28 ไม่.ย. 65 ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา เดี๋ยวนี้ได้ให้บริการตรวจตราข้อมูลการรับรองภัย พระราชบัญญัติ ไปแล้วกว่า 23 ล้านรายการ ก็เลยเป็นการยกฐานะการให้บริการพลเมืองโดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเกื้อหนุนการให้บริการของ หน่วยงานอย่างเต็มรูปแบบ ดังนี้ จะช่วยอำนวยความสะดวกแก่สามัญชนที่ได้ทำสัญญาประกันภัย พระราชบัญญัติ โดยที่ไม่ต้องแสดงเค้าหน้ารางกรมธรรม์ประกันภัย พระราชบัญญัติ แบบกระดาษ ข่าวเศรษฐกิจ เมื่อต่อภาษีรถยนต์รายปีในทุกหนทางของกรมการขนส่งทางบกอีกต่อไป ที่ทำการ คปภ. เชื่อถือว่าการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อพิจารณาการทำประกันภัย พระราชบัญญัติ ในการจ่ายภาษีรถยนต์รายปีจะเป็นการอำนวยความสะดวกแก่พลเมืองให้สามารถเข้าถึงระบบสัญญาประกันภัยได้อย่างสะดวกและก็ทั่วถึง แล้วก็จะช่วยลดช่วงเวลา ขั้นตอน แล้วก็สร้างความเชื่อมั่นและมั่นใจให้กับคนที่ซื้อสัญญาประกันภัย พระราชบัญญัติ ช่วงเวลาเดียวกันก็จะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้มีการทำสัญญาประกันภัย พระราชบัญญัติ เยอะขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุว่าถ้าไม่ทำก็จะไปต่อภาษีรถยนต์รายปีมิได้ โดยที่ทำการ คปภ. พร้อมเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งที่จะร่วมเคลื่อนการทำงาน เพื่ออำนวยประโยชน์แก่พลเมืองแล้วก็ชาติอย่างมาก

แนะนำข่าวเศรษฐกิจ อ่านเพิ่มเติมคลิกเลย : ถุงยางอนามัยไทยแชมป์โลกที่โดดเด่น มีส่วนแบ่งตลาดโลกเพิ่มขึ้น

 

เปิดเหตุผลเกษตรกร ขอรัฐบาลใหม่ “หยุด” ประกันรายได้

เปิดเหตุผลเกษตรกร ขอรัฐบาลใหม่ “หยุด” ประกันรายได้

เศรษฐกิจ หลายข้างอาจสังเกตแนวนโยบายเศรษฐกิจ ของพรรคการเมืองที่ลงสู้ศึกลงคะแนนเสียงครั้งใหม่ที่กำลังจะออกเดินทางมาถึงในวันที่ 14 พ.ค. 2566 นี้ ว่าแต่ว่าละพรรคจะกล่าวถึงอะไรมาหาเสียงซื้อใจเกษตรกรที่เป็นเสียงส่วนมากของประเทศ คุณลักษณะเด่นจุดขายหลักการดูแลผลิตภัณฑ์เกษตรแขนจะ แหวกแนว” จากวิถีการรับรองรายได้ที่ใช้มา ปี ไปได้หรือเปล่า ความมุ่งมาดเกษตรกร นายรังษี ไผ่อาด นายกสัมพันธ์ชาวไร่ชาวนามันสำปะหลังที่เมืองไทย กล่าวมาว่า แนวนโยบายสำหรับในการดูแลผลิตภัณฑ์เกษตรของรัฐบาลชุดใหม่ ความจำเป็นให้ยกเลิกเลย เป็นโครงงานจำนองแล้วก็โครงงานรับรองรายได้ เนื่องจากเห็นว่า มิได้สนับสนุนผลิตผลรวมทั้งส่งเสริมราคาผลิตภัณฑ์เกษตรอย่างยั่งยืน สิ่งที่มีความต้องการให้รัฐบาลเข้ามาดูแลหมายถึงการผลักดันการเพิ่มผลิตผลต่อไร่ ข่าวธุรกิจ ซึ่งกสิกรมีเป้าหมายว่าด้านในปี 2568 ยกฐานะผลิตผล ตันต่อไร่ให้ได้ จากปัจจุบันนี้ 3.3 ตันต่อไร่ เมืองต้องเข้ามาช่วยเหลือและก็เกื้อหนุนการช่วยลดทุนปัจจัยที่ใช้ในการผลิต การสนับสนุนอุปกรณ์เครื่องจักร ข่าวเศรษฐกิจ โดยให้มีการเข้าถึงรวมทั้งลดภาษีมากยิ่งขึ้น ส่งเสริมแหล่งเงินทุน พร้อมกับสนับสนุน พระราชบัญญัติมันสำปะหลัง รวมทั้งก่อตั้งกองทุนเพื่อกสิกรมัน” สำหรับราคามันสำปะหลังตอนนี้เฉลี่ย 3.90 บาทต่อกิโล สำหรับเชื้อแป้ง 25% ซึ่งเป็นราคาที่เกษตรกรขายได้ราคา เพราะเหตุว่าผลิตผลออกน้อยจากปัญหาโรคใบด่างและก็อุทกภัยในปีที่ล่วงเลยไป โดยผลิตผลในปีนี้คาดเดาว่าจะต่ำลงยิ่งกว่า 30 ล้านตัน จากต้นสายปลายเหตุสภาพภูมิอากาศ น้ำแล้วก็โรคใบด่างที่อยากที่จะให้หน่วยงานเข้ามา ติดตามดูแลเอาใจใส่ด้วยความใกล้ชิด น้ำ” ปัญหาใหญ่ ตอนที่ นายความหรรษา เจริญก้าวหน้าศิลป นายกสโมสรเกษตรกรรวมทั้งเกษตรกรไทย บอกว่า เมื่อได้รัฐบาลชุดใหม่ สิ่งที่เกษตรกรอยากให้เมืองช่วยเหลือ มีนโยบาย มาตรการดูแลหมายถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการหาแหล่งน้ำ ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นของภาคเกษตร แม้ไม่พอจะคือปัญหา แล้วก็ปัจจุบันนี้การขุดบาดาลหรือทำแหล่งน้ำยังน้อยมาก อยากที่จะให้ทำให้ครอบคลุมเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด สนับสนุนเมล็ดพันธุ์ที่ตอบสนองในสิ่งที่ต้องการของตลาด การส่งออก ช่วยลดทุนในเรื่องของปุ๋ย

แนะนำข่าวเศรษฐกิจ อ่านเพิ่มเติมคลิกเลย : ปตท.รุกธุรกิจเรสซิเดนซ์ใน EECi รองรับนักวิจัย สวทช.

ถก 4 เสาหลักโวแก้เศรษฐกิจถูกทาง ครม.เตะสกัดคู่แข่งไม่มีเงินให้ “หว่าน”

ถก 4 เสาหลักโวแก้เศรษฐกิจถูกทาง ครม.เตะสกัดคู่แข่งไม่มีเงินให้ “หว่าน”

เศรษฐกิจ ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 เม.ย.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้เรียก 4 หน่วยงานเศรษฐกิจ ประกอบด้วย สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงบประมาณ มารายงานสถานการณ์เศรษฐกิจ รวมทั้งให้คณะรัฐมนตรีซักถามถึงนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆที่นำเสนอในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง โดยเฉพาะนโยบายใหม่ๆ ว่าจะส่งผลต่อประเทศอย่างไร มีงบประมาณมาดำเนินการได้หรือไม่ นายอนุชา บูรพชัยศรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สศช.ได้รายงานภาวะเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวในปี 2566 ถึง 2567 จึงต้องเฝ้าระวังว่าจะมีผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายของรัฐบาลซึ่งจะต้องกระตุ้นการส่งออก ส่วนภาวะเงินเฟ้อของไทยอยู่ในระดับไม่สูงมากนัก โดยอยู่ในอันดับ 20 ของโลกและอันดับที่ 2 ของอาเซียน จึงไม่เป็นข้อกังวล ทั้งนี้ ธปท.ได้รายงานว่าประเทศขณะนี้ไม่มีความเสี่ยงเรื่องเสถียรภาพทางการเงินการคลังเลย โดยหนี้ต่างประเทศไม่อยู่ในอัตราที่สูงเกินไป เงินคงคลังอยู่ในระดับที่เหมาะสม ข่าวเศรษฐกิจ  สถาบันการเงินของไทยมีความเข้มแข็ง และการกู้เงิน 1.5 ล้านล้านบาทในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 เพื่อนำมาดูแลสุขภาพประชาชนและกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นนโยบายที่เหมาะสมในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในที่ประชุม ครม.ได้มีการหยิบยกตัวอย่างต่างประเทศที่ดำเนินการให้เศรษฐกิจดีขึ้นแต่สุดท้ายไม่เป็นผล เห็นได้จากที่ทั่วโลกคุมอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำนานพอสมควร แต่เมื่อต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อไม่ให้สูงเกินไปทำให้เกิดภาวะช็อก มีสถาบันการเงินล้มละลายในสหรัฐฯ และยุโรป เป็นตัวอย่างของการดำเนินนโยบายการคลังที่ทำให้เกิดปัญหา แต่ไม่ได้เป็นปัญหาของประเทศไทย โดยตัวเลขที่ ธปท.คาดการณ์ภาระดอกเบี้ยต่อรายได้ของรัฐบาลสิ้นปีงบประมาณ 2566 จะขยับไปอยู่ที่ 8.75% แต่ยังไม่เกินมาตรฐานสากลที่ 10% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ทำให้สถาบันจัดอันดับเครดิตต่างๆจับตามองและทบทวนลดอันดับเครดิตและจะทำให้การกู้เงินมีภาระดอกเบี้ยสูงขึ้น นายอนุชากล่าวด้วยว่า สศค.ได้รายงานผลการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในช่วงห้าเดือนแรกของปีงบประมาณ 2566 (ต.ค.2565-ก.พ.2566) จัดเก็บรายได้ได้สูงกว่าประมาณการ โดยจัดเก็บได้ 990,000 ล้านบาท สูงกว่าเป้า 10% โดยกรมสรรพสามิตจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าประมาณการ เนื่องจากนโยบายลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลิตรละ 5 บาท ทำให้สูญเสียรายได้เดือนละ 10,000 ล้านบาท และรวมไม่ได้จัดเก็บรายได้จากส่วนนี้นับ 100,000 ล้านบาท แต่การช่วยลดภาระของประชาชนและรัฐบาลก็จะดำเนินการเรื่องนี้ต่อไปอย่างต่อเนื่อง

แนะนำข่าวเศรษฐกิจ อ่านเพิ่มเติมคลิกเลย : คนรายได้ต่ำยังฝืดเคือง ดัชนีเชื่อมั่นชี้คนไทยมีความสุขขึ้น

ราคาน้ำมันดิบ (20 ก.พ.) ร่วงแรงกว่า 2 ดอลลาร์ กังวลดอกเบี้ยสหรัฐ

ราคาน้ำมันดิบ (20 ก.พ.) ร่วงแรงกว่า 2 ดอลลาร์ กังวลดอกเบี้ยสหรัฐ

เศรษฐกิจ ราคาน้ำมันดิบร่วง หลังวิตกอัตราดอกเบี้ยแพงกระทบอุปสงค์ ท่ามกลางอุปทานที่อยู่ในระดับสูง วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 หน่วยวิเคราะห์สถานการณ์ราคาน้ำมัน บมจ.ไทยออยล์ ระบุว่า ปัจจัยที่ส่งผลกระทบกับราคา ดังนี้ ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสและเบรนต์ปรับลดลงกว่า 2 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากตลาดกังวลอัตราดอกเบี้ยสหรัฐจะกดดันต่อความต้องการใช้น้ำมัน โดยธนาคารกลางสหรัฐ (FED) มีแนวโน้มปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยมากกว่าที่คาด และจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับสูงต่อเนื่อง เพื่อชะลออัตราเงินเฟ้อลง ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 สัปดาห์ ปัจจัยลบ อุปทานในตลาดยังคงอยู่ในระดับสูง ข่าวเศรษฐกิจ หลังรัสเซียคงปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบอยู่ในเดือน มี.ค. 2566 ในระดับเดิม แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีการประกาศลดการผลิตลง 500,000 บาร์เรลต่อวัน นอกจากนี้ ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐปรับเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี นับตั้งแต่ มิ.ย. 2564 ปัจจัยบวกปริมาณการขุดเจาะน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติของสหรัฐปรับลดลงเป็นครั้งที่สองในรอบสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ตามราคาพลังงานที่ลดลง โดย Baker Hughes รายงานปริมาณการขุดเจาะ สำหรับสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 17 ก.พ. ปรับลดลง 1 แท่น มาอยู่ระดับ 760 แท่น ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อยู่ที่ 76.34 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หรือลดลง 2.15 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดิบเบรนต์อยู่ที่ 83 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หรือลดลง 2.14 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 82.13 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หรือลดลง 1.73 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

แนะนำข่าวเศรษฐกิจ อ่านเพิ่มเติมคลิกเลย : สมาคมเหล็กแผ่นรีดร้อนไทย ค้านยกเลิกมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด

ม.หอการค้าฯ “ฟันธง”! เศรษฐกิจไทย “เริ่มฟื้น”

เมื่อวานนี้ผมลองส่องกล้องดูเศรษฐกิจโลกในช่วงนี้ พบว่ามีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เกิดขึ้นมาวับๆแวมๆ ที่สหรัฐอเมริกาจากการที่ “ภาวะเงินเฟ้อ” ล่าสุดเริ่มชะลอตัวลง

เศรษฐกิจ  ทำให้คาดกันว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯน่าจะไม่ถอยหลังไปมากกว่านี้ เพราะธนาคารกลางสหรัฐฯคงจะเลิกใช้ยาแรงคือ ขึ้นดอกเบี้ยในอัตราสูงร้อยละ 0.75 ซ้ำอีกในเดือนธันวาคม แต่ก็มีนักเศรษฐศาสตร์หลายคนเตือนว่าอย่าเพิ่งชะล่าใจธนาคารกลางสหรัฐฯอาจเหยียบเบรกต่อ เพราะเคยพูดไว้ว่า การรักษาโรค “เงินเฟ้อ” นั้นจะต้องมุ่งมั่น จะต้องใช้เวลา และไม่ใจอ่อนง่ายๆ ข่าวแนะนำฉะนั้น จึงต้องติดตามกันว่าสหรัฐฯจะเหยียบเบรกแรงต่อไปหรือไม่ ในเดือนธันวาคมที่จะมาถึง ขณะเดียวกันเมื่อส่องกล้องไปดูทางยุโรปก็พบว่า…สาหัสสากรรจ์มาก เพราะสหราชอาณาจักร หรืออังกฤษซึ่งเงินเฟ้อสูง และแก้เงินเฟ้อมาพอสมควร ช่วงนี้กำลังตกอยู่ในภาวะ “ถดถอย” คือเศรษฐกิจติดลบแล้วในไตรมาสที่ 3 ในขณะที่ยุโรปอื่นๆ เช่น เยอรมนี หรือฝรั่งเศสอาจยังไม่ถดถอย เพราะตัวเลขยังบวกอยู่ แต่ก็มีคำเตือนว่าต้องระวังตัวเอาไว้ให้ดี เพราะอัตราเงินเฟ้อในยุโรปหลายประเทศยังรุนแรงเหลือเกิน เสร็จแล้วผมก็ทิ้งท้ายว่าแม้เศรษฐกิจของโลกและที่โน่นที่นี่หลายแห่งจะดูมีปัญหามาก แต่ของไทยเรากลับมีแนวโน้มที่ดีจากถ้อยแถลงของ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ผมจดเอาไว้ตั้งแต่สัปดาห์ก่อนและตั้งใจจะเอามาลงสัปดาห์นี้ นอกจากจะเพื่อเปรียบเทียบกับประเทศหลักๆของโลกแล้วยังจะเพื่อปลอบใจและให้กำลังใจแก่พวกเราชาวไทยด้วย…ดังต่อไปนี้ครับ เริ่มจากดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนตุลาคมที่ผ่านมานี้เสียก่อน…มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยท่านอธิการบดี ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย แถลงว่าปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 44.6 เป็น 46.1

เรียกว่าดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกันแล้วและเดือนที่ผ่านมานี้ถือเป็นตัวเลขที่ดีขึ้นสูงสุดว่างั้นเถอะ

ข่าวเศรษฐกิจ สำหรับการพยากรณ์เศรษฐกิจของปีนี้และปีหน้านั้นมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย…คาดว่าปีนี้ 2565 จะค่อยๆกลับมาบวกมากขึ้นในช่วงปลายปี และเมื่อรวมทั้งปีท่านคาดว่าจะบวกถึง 3.3-3.5 เปอร์เซ็นต์ สัญญาณบวกนั้นเริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจนมากในไตรมาสนี้ โดยเฉพาะจากการลอยกระทงที่ผ่านมาที่มีการจับจ่ายใช้สอยมากกว่าทุกๆปีในช่วงหลังๆคิดเป็นอัตราเพิ่มถึงร้อยละ 6 ท่านยังมองต่อไปว่าการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวตั้งแต่ปีนี้ไปจนถึงปีหน้าจะเป็นแรงกระตุ้นให้เศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ และเป็นไปได้ที่ปี 2566 จะขยายตัวได้ในกรอบ 3.5-4 เปอร์เซ็นต์ กลับสู่ภาวะปกติของเราที่เคยเกิดขึ้นก่อนโควิด-19 ระบาดอีกครั้งหนึ่ง แม้จะมีเงื่อนไขและข้อสมมติฐานหลายข้อที่อิงอยู่กับสถานการณ์สงครามและเศรษฐกิจโลกที่อาจจะมีผลทำให้คำทำนายผิดพลาดได้ในอนาคต แต่ผมก็ขอเอาใจช่วยและลุ้นให้การทำนายของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยจงถูกต้องทุกประการ เพราะการคาดการณ์หรือการทำนายที่ถูกต้องจะสร้างความมั่นใจให้แก่มหาวิทยาลัย และขณะเดียวกันก็สร้างเครดิต หรือความเชื่อถือของประชาชนที่มีต่อมหาวิทยาลัยมากขึ้น เหมือนในต่างประเทศ ที่มหาวิทยาลัยดังๆหลายแห่งจะมีบทบาทในการออกมาให้ข้อมูล เพื่อการตัดสินใจสำหรับนโยบายต่างๆ ทั้งแก่รัฐบาลและประชาชน หรือสื่อมวลชนของประเทศนั้นๆ ที่ผ่านมามหาวิทยาลัยหอการค้าไทยได้ทำหน้าที่ในการสำรวจและสร้างเครื่องชี้วัดต่างๆที่ดีมาก และได้รับความเชื่อถือจากประชาชนค่อนข้างมาก จึงขอเอาใจช่วยให้ทำหน้าที่ได้อย่างดียิ่งขึ้นไปอีกในอนาคต ป.ล. เผลอๆการทำนายของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยจะถูกเป๊ะเอานะเนี่ย เพราะก่อนผมส่งต้นฉบับไปเรียงพิมพ์นี่เองมีการแพร่ภาพนักท่องเที่ยวขาเข้าแน่นเอี๊ยดสุวรรณภูมิอีกแล้ว พร้อมๆกับการแถลงของ ตม.ว่ามีผู้โดยสารต่างประเทศเข้าประเทศไทยถึง 57,000 คน เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เกือบจะเท่าตัวเลขยุคประเทศไทยเราพีกสุดๆ ที่เฉลี่ยสูงถึงวันละ 60,000 รายแล้วนะครับเนี่ย

แนะนำข่าวเศรษฐกิจ อ่านเพิ่มเติมคลิกเลย : SAF ประกาศเตรียมเข้า mai ปีนี้ หวังสร้างการเติบโตผ่านเหล็กคุณภาพสูง